![]() |
ที่มาภาพ : https://aseanwatch.org/2019/10/04/ติมอร์-เลสเตกับอาเซียน-2562/ |
หลังจากที่ติมอร์เลสเต หรือติมอร์ตะวันออก
แยกตัวเป็นอิสระจากอินโดนีเซียเมื่อปี 1999 และได้ยื่นเอกสารคำร้องเป็นสมาชิกอาเซียน
ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ของอาเซียนต่างสนับสนุนให้ติมอร์เลสเตเข้าร่วม แต่ก็ยังอยู่ในฐานะผู้สังเกตการณ์อาเซียน
เพราะยังมีบางประเทศที่ยังสงวนท่าทีไม่ยอมรับให้เข้าร่วม ถึงแม้ว่าติมอร์เลสเตจะผ่านเกณฑ์การเข้าเป็นสมาชิกใหม่ตามหมวดที่
3 มาตรา 6 ของกฎบัตรอาเซียนในเรื่องการรับสมาชิกใหม่
คือ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การตกลงที่จะผูกพันและเคารพกฎบัตรนี้
ตลอดจนมีความกระตือรือร้นอย่างมากในการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมของอาเซียน แต่ติมอร์-เลสเตต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการที่ยังไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกใหม่ของอาเซียนได้
เพราะตามที่กฎบัตรอาเซียนได้ระบุถึงหลักเกณฑ์ที่ติมอร์เลสเต ยังไม่มีนั่นคือ
การยอมรับโดยสมาชิกอาเซียนทั้งปวง (บางประเทศสมาชิกไม่ยอมรับ) ซึ่งก็มีเหตุผลดังต่อไปนี้
![]() |
แผนที่ประเทศติมอร์-เลสเตม ที่มาภาพ : https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศติมอร์-เลสเต#/media/ไฟล์:LocationEastTimor.svg |
ชาติอาเซียนบางประเทศเห็นว่าติมอร์-เลสเตนั้นยังไม่มีศักยภาพมากพอที่จะดำเนินภารกิจในกรอบของอาเซียนได้
อาทิ การจ่ายค่าส่วนกลางสำหรับการบริหารกิจการอาเซียน
การจัดประชุมสุดยอดในฐานะประธานอาเซียน และการฝึกซ้อมทางทหารกับชาติมหาอำนาจ
เป็นต้น การที่ติมอร์-เลสเต ซึ่งเป็นประเทศเกิดใหม่มีประชากรเพียงแค่ 1
ล้านคน และมี GDP เพียงแค่ 2,900 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
ทำให้ชาติอาเซียนบางประเทศไม่มั่นใจว่าติมอร์-เลสเตจะสามารถปฏิบัติตามภารกิจของอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากต้องใช้บุคลากรและงบประมาณเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังมีประเด็นด้านช่องว่างของระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจระหว่างติมอร์-เลสเตกับชาติสมาชิกอาเซียนอื่นๆ
อันจะส่งผลให้เกิดการชะลอการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค สำหรับติมอร์-เลสเตนั้นมีกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ
(Sovereign Wealth Fund)ซึ่งรายได้หลักมาจากทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญคือ
น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ อันมีแนวโน้มที่จะมีมูลค่าถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในอีกหนึ่งทศวรรษข้างหน้า
และรายได้ดังกล่าวอาจจะเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญของอาเซียนในการเสริมสร้างการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
อีกทั้งการรับติมอร์-เลสเต เข้าเป็นสมาชิกจะเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและหมุดหมายความสำเร็จครั้งสำคัญของอาเซียน
ที่แสดงให้เห็นว่าอาเซียนมีส่วนสำคัญต่อการสร้างสันติภาพในภูมิภาค
รวมถึงในกรณีที่อินโดนีเซียสามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศเพื่อนบ้านที่เคยมีความขัดแย้งและได้แยกตัวเป็นเอกราชออกไปแห่งนี้
บทความโดย : Dek-South East Asia
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น