ที่มาภาพ : http://oknation.nationtv.tv/blog/Thaihippy/page92 |
บ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศ
ตามข้อ
38 ธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ บ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่
1) สนธิสัญญาระหว่างประเทศ
เป็นตราสารที่เกิดจากความตกลงยินยอมของรัฐต่างๆ
ผูกพันเฉพาะรัฐที่แสดงเจตนาเข้าผูกพัน โดยการลงนามให้สัตยาบัน บรรดาอนุสัญญา
ข้อตกลง (accord) ความตกลง (agreement) หรือ charter แม้มีชื่อเรียกต่างกัน แต่มีฐานะในทางกฎหมายระหว่างประเทศเท่าเทียมกัน
-
การลงนามรับรอง ยังไม่ผูกพันรัฐ
เป็นเพียงการยืนยันความถูกต้องหลังจากการเจรจา ต้องให้สัตยาบันจึงจะมีผลผูกพัน
-
การภาคยานุวัตร
เป็นการแสดงเจตนาเข้าเป็นภาคีหลังระยะเวลาการเปิดให้สัตยาบันของสนธิสัญญาสิ้นสุดลง
2)
จารีตประเพณีระหว่างประเทศ เกิดจากการปฏิบัติของรัฐหลายรัฐเป็นช่วงระยะหนึ่งและเกิดเป็นแนวปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นกฎหมาย
เช่น เขตเศรษฐกิจจำเพาะ,
EIA
3) หลักกฎหมายทั่วไป เป็นหลักการหรือแนวคิดทางนิติศาสตร์ที่มีไว้เพื่อผดุงความยุติธรรม
ส่วนใหญ่นำมาจากกฎหมายภายใน แต่บางหลักก็เกิดขึ้นจากสังคมระหว่างประเทศ เช่น หลักห้ามแทรกแซงกิจการภายใน
หลักไม่มีผู้ใดบังคับรัฐขึ้นศาลระหว่างประเทศได้ หากปราศจากความยินยอม
ที่มาภาพ : https://th.wikipedia.org/wiki/องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน |
องค์การระหว่างประเทศ
เป็นรูปแบบหนึ่งของกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐเป็นสถาบันที่มีลักษณะถาวร
ต่อเนื่อง และสามารถดำเนินการได้อย่างอิสระ โดยอาศัยกรอบการดำเนินงานที่ตั้งขึ้นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้งมีเจตจำนง
การก่อตั้ง ก่อตั้งโดยตราสารที่สะท้อนเจตจำนงของรัฐสมาชิกที่เป็นผู้กำหนดเนื้อหาอำนาจสิทธิหน้าที่ของรัฐสมาชิก
ซึ่งมีรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งในรูปแบบของสนธิสัญญา เช่น UN EU หรือตราสารที่ก่อตั้งเป็นมติ
เช่น OPEC ASEAN
ลักษณะขององค์การระหว่างประเทศ
-มีการรวมกลุ่มอย่างถาวรของรัฐ
-มีการแบ่งแยกอย่างเด็ดขาด
ถึงจุดมุ่งหมายและอำนาจหน้าที่ระหว่างองค์การระหว่างประเทศกับรัฐสมาชิก
-องค์การระหว่างประเทศมีการปฏิบัติหน้าที่อย่างเอกเทศในระดับระหว่างประเทศมิใช่ระดับชาติ
-ขอบข่ายอำนาจขององค์การระหว่างประเทศเป็นไปตามตราสารก่อตั้งองค์การระหว่างประเทศซึ่งแตกต่างไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การระหว่างประเทศ
อำนาจหน้าที่
มีหลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแต่ละองค์การ
จะต้องไม่กระทำการเกินขอบอำนาจ โดยทั่วไปมีอำนาจในการออกกฎเกณฑ์ใช้บังคับควบคุมรัฐสมาชิก
แต่ไม่อำนาจบังคับบัญชา ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ขององค์การระหว่างประเทศ
ผู้ทรงสิทธิในกฎหมายระหว่างประเทศ (บุคคลในทางระหว่างประเทศ)
คือ บุคคลที่ได้รับการรับรองว่ามีสภาพบุคคลในทางระหว่างประเทศมีความสามารถที่จะถือสิทธิและมีหน้าที่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
ผลของการมีสภาพบุคคลในทางระหว่างประเทศ
1) สิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ตามกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 104 “องค์การฯจะมีความสามารถทางกฎหมายในดินแดนของรัฐสมาชิกขององค์การสหประชาชาติเท่าที่จำเป็นเพื่อการปฏิบัติหน้าที่การงานขององค์การและเพื่อให้บรรลุตามความมุ่งประสงค์ขององค์การ”
2)
ความสามารถในการเรียกร้องประโยชน์จากสิทธิ ตามกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 34 การระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี
และ ข้อ 96 การร้องขอศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับกฎหมาย
3) มีความสามารถในแง่นิติสัมพันธ์
บุคคลธรรมดาเป็นผู้ทรงสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่
บุคคลธรรมดาเป็นผู้ทรงสิทธิที่ไม่ได้มีสิทธิตามระบบกฎหมายระหว่างประเทศโดยตรง
แต่ที่มีภายใต้ความยินยอมของรัฐ สิทธิของบุคคลธรรมดาจึงมีจำกัด
โดยมีสิทธิเรียกร้องได้เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
แต่ไม่มีสิทธิทำสนธิสัญญาหรือเรียกร้องโดยตรงในเวทีระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายใน
ในส่วนที่คล้ายคลึงกันคือเรื่องการยอมรับ
•
แต่ละประเทศจึงเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศที่บรรดานานาอารยประเทศ
(civilized
nations) ยอมรับร่วมกันให้มีผลผูกพัน
ในส่วนการขัดกันของกฎหมายภายในกับกฎหมายระหว่างประเทศ
•
จะถือว่ากฎหมายใดมีลำดับศักดิ์สูงกว่ากันนั้น
ย่อมขึ้นอยู่กับระบบกฎหมายภายในของแต่ละประเทศที่กำหนดไว้ให้กฎหมายใดมีผลบังคับใช้
หรือกำหนดขั้นตอน กระบวนการปรับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ ให้มีผลบังคับในประเทศของตน
• ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหากมีการขัดกันระหว่างกฎหมายในกับกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว
จึงถือว่ากฎหมายระหว่างประเทศมีลำดับศักดิ์สูงกว่า
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
1.
ทฤษฎีทวินิยม
กฎหมายระหว่างประเทศไม่มีผลบังคับโดยตรงภายในรัฐ
จะมีผลภายในรัฐก็ต่อเมื่อรัฐได้ออกกฎหมายภายในให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ
เช่น ประเทศไทย
2.
ทฤษฎีเอกนิยม กฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในเป็นหนึ่งเดียวกัน
กฎหมายระหว่างประเทศใช้บังคับโตยตรงภายในรัฐได้
โดยไม่ต้องออกกฎหมายเพื่ออนุวัตรการ รัฐยอมรับว่าการใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐนั้นยังต้องตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศบางประการเช่นเดียวกัน
โดยที่รัฐไม่สามารถที่จะแสดงเจตจำนงหรือยกเว้นเป็นประการอื่นได้ เช่น กฎหมายเด็ดขาด
กฎหมายระหว่างประเทศที่ห้ามการรุกราน การทำลายล้างเผ่าพันธุ์
*กฎหมายเด็ดขาดของกฎหมายระหว่างประเทศย่อมอยู่ในลำดับที่สูงกว่ากฎหมายภายในของรัฐ
ประเทศไทยยื่นสัตยาบันสารอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ที่มาภาพ : http://humanrights.mfa.go.th/th/news/119/ |
อนุสัญญา/สนธิสัญญา/ความตกลง/ข้อตกลง
มีผลผูกพันเฉพาะรัฐที่แสดงเจตนายอมเขาเป็นภาคี
องค์ประกอบของสนธิสัญญา
1.ข้อความตกลงยอมรับร่วมกัน สนธิสัญญาจะต้องเกิดจากความยินยอมพร้อมใจไม่เกิดจากการข่มขู่หรือการฉ้อโกง
2.คู่ภาคี
3.พันธะผูกพันทางกฎหมาย
1.ข้อความตกลงยอมรับร่วมกัน สนธิสัญญาจะต้องเกิดจากความยินยอมพร้อมใจไม่เกิดจากการข่มขู่หรือการฉ้อโกง
2.คู่ภาคี
3.พันธะผูกพันทางกฎหมาย
ขั้นตอนการทำสนธิสัญญา
1.การเจรจา ต้องมีลักษณะตามมาตรา 7 อนุสัญญากรุงเวียนนา และเข้าร่วมทำความตกลง
2.การลงนาม เป็นขั้นตอนการยอมรับตามข้อตกลงในสนธิสัญญา ลงนามย่อ,ลงนามเต็ม
3.การให้สัตยาบัน ถือเป็นขั้นตอนการยอมรับครั้งสุดท้ายและเกิดผลสมบูรณ์ให้รัฐภาคีผูกพันตามสนธิสัญญา มีวัตถุประสงค์ให้รัฐภาคีได้พิจารณาทบทวน
4.การจดทะเบียน เป็นไปตามมาตรา 102 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ
1.การเจรจา ต้องมีลักษณะตามมาตรา 7 อนุสัญญากรุงเวียนนา และเข้าร่วมทำความตกลง
2.การลงนาม เป็นขั้นตอนการยอมรับตามข้อตกลงในสนธิสัญญา ลงนามย่อ,ลงนามเต็ม
3.การให้สัตยาบัน ถือเป็นขั้นตอนการยอมรับครั้งสุดท้ายและเกิดผลสมบูรณ์ให้รัฐภาคีผูกพันตามสนธิสัญญา มีวัตถุประสงค์ให้รัฐภาคีได้พิจารณาทบทวน
4.การจดทะเบียน เป็นไปตามมาตรา 102 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ
ผลของสนธิสัญญา
ย่อมเกิดพันธะทางกฎหมายให้รัฐภาคีมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย โดยหลักสนธิสัญญาจะไม่ก่อให้เกิดสิทธิหน้าที่ของบุคคลภายนอก แต่มีข้อยกเว้นคืออาจก่อให้เกิดสิทธิหรือภาระแก่รัฐที่สามก็ได้เช่น กรณีคลองสุเอซที่เปิดเป็นคลองสาธารณะ
ย่อมเกิดพันธะทางกฎหมายให้รัฐภาคีมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย โดยหลักสนธิสัญญาจะไม่ก่อให้เกิดสิทธิหน้าที่ของบุคคลภายนอก แต่มีข้อยกเว้นคืออาจก่อให้เกิดสิทธิหรือภาระแก่รัฐที่สามก็ได้เช่น กรณีคลองสุเอซที่เปิดเป็นคลองสาธารณะ
การสิ้นสุดสนธิสัญญา
1.เมื่อถึงกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา
2.คู่ภาคีตกลงให้สนธิสัญญาสิ้นผล
3.คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบอกเลิกสัญญา
4.คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญา
5.เมื่อเกิดสถานการณ์อย่างหนึ่งเช่นภาวะสงคราม
6.เมื่อมีการทำสัญญาขึ้นใหม่
7.เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจอธิปไตยของคู่สัญญา
8.เมื่อสนธิสัญญาขัดต่อหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศที่สร้างขึ้นใหม่
1.เมื่อถึงกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา
2.คู่ภาคีตกลงให้สนธิสัญญาสิ้นผล
3.คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบอกเลิกสัญญา
4.คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญา
5.เมื่อเกิดสถานการณ์อย่างหนึ่งเช่นภาวะสงคราม
6.เมื่อมีการทำสัญญาขึ้นใหม่
7.เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจอธิปไตยของคู่สัญญา
8.เมื่อสนธิสัญญาขัดต่อหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศที่สร้างขึ้นใหม่
บทความโดย : Dek-South East Asia
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น